ทางหลวงสายฝุ่น อุสึมิ ริวอิชิโร่
เมื่อฉันยังเด็ก ฉันได้อาศัยอยู่ที่อิจิโนะเซคิและได้มาเยี่ยมเยือนฮิระอิซุมิอยู่บ่อย ๆ เพราะห่างกันเพียงแค่รถไฟสองสถานีเท่านั้น แต่ฉันชอบที่จะเดินมากกว่าแม้จะไกลอยู่พอสมควร ฉันเดินมาถึงฮิระอิซุมิพร้อมเพื่อน ๆ จากโรงเรียนมัธยมตอนต้นตามทางหลวงสายฝุ่น
ซึ่งมันเป็นยุคก่อนที่คุณจะสามารถหยอดเหรียญกดเครื่องดื่มเย็น ๆ จากตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เราเดินอย่างไร้ซึ่งหมวกกำบังพระอาทิตย์ช่วงฤดูร้อน แต่อย่างน้อยก็ยังได้น้ำจากบ่อน้ำที่ชาวนาตามถนนให้เราเมื่อเวลาที่คอของเราแห้งผาก
เราไม่ได้ไปร่วมงานเทศกาลหรือแม้กระทั่งเรียนหนังสือ เราแค่รวมตัวและออกเดินทางสู่ชูซอน-จิและโมสึ-จิในวันหยุดของเรา
ในวันเหล่านั้น ฮิระอิซุมิเป็นเมืองที่เงียบสงบแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ศาลาและพิพิธภัณฑ์ที่ชูซอน-จิว่างสำหรับนักเรียนอย่างเรา ๆ ดังนั้นพวกเราจึงเดินไปเรื่อย ๆ เข้าและออก และจ้องมองพระพุทธรูปและองค์ประกอบอื่น ๆ ได้อย่างตามใจ ในเวลานั้น รูปปั้น อิชิจิ คินริน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ไดนิชิในรูปมนุษย์" ในร่างมนุษย์ที่ปรากฏและนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ แม้ตอนนี้ได้ถูกกระทำเสมือนเป็นพระพุทธเจ้าลับ ๆ แต่ในตอนนั้นคุณสามารถยื่นมือไปสัมผัสหน้าที่เสมือนเป็นเนื้อจริง เมื่อฉันได้กลับมาเมื่อปีต่อมาและเห็นรอยดำบนจมูกรูปปั้น ฉันถึงกับผงะ
หลังจากพักผ่อนในร่มเย็น เราได้ใช้ทางด้านหลังไปสู่โมสึ-จิ โมสึ-จิค่อนข้างไม่มีคนเช่นกัน และเราก็เข้าออกได้อย่างตามใจ เราวิ่งไปโดยรอบสระ โออิซุมิ กะ อิเคะ ทำป้อมปราการจากหินเอง และล้มตัวลงนอนบนทุ่งหญ้า เราไม่ได้กระโดดลงสระ และไม่ใช่เพียงเพราะน้ำที่เต็มไปด้วยโคลน แต่ทว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นเด็กแต่ก็ยังสำนึกได้ว่าสระน้ำแห่งนี้ไม่เหมาะกับการว่ายน้ำแต่อย่างใด
ฉันมีความทรงจำอีกอย่างหนึ่งของโออิซุมิ กะ อิเคะ
เมื่อฉันอยู่ชั้นประถมศึกษาฉันได้ไปฮิระอิซุมิกับพี่สาว ฉันจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่แต่ที่ต้องไปเพราะว่าต้องไปเป็นเพื่อนพี่สาวกับการนัดดูตัวครั้งแรกของเธอ ใช่แล้ว แม่ของพวกเราเป็นคนจัดการเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เท่าที่ฉันจำได้จริง ๆ คือ ชายหนุ่มที่แก่กว่าที่ฉันไม่รู้จักเดินเคียงข้างกับพี่สาวของฉัน และเขาทั้งสองก็พูดจากันเพียงเล็กน้อย
ฉันคิดว่าเราไปฮิระอิซุมิโดยรถไฟหรือไม่ก็โดยรถบัส และถนนฝุ่นก็คงไม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเดทครั้งแรกเท่าไหร่นัก
สิ่งหนึ่งที่ฉันจำได้ค่อนข้างชัดเจนนั่นก็คือ แห้ว ซึ่งขณะที่พี่สาวและชายหนุ่มของเธอนั้นเดินรอบ ๆ สระน้ำในโมสึ-จิ ชายหนุ่มก็ได้ชี้ไปยังพื้นผิวน้ำ มีพืชน้ำลอยอยู่และก็มีบางสิ่งสีออกน้ำตาลรูปทรงเหมือนดาวแฉกที่สามารถมองเห็นได้อยู่ใต้น้ำ ชายหนุ่มตักเจ้าดาวสีน้ำตาลขึ้นมาและแกะเปลือกออก ทำให้พบเจอกับแห้วสีขาวบริสุทธิ์ ฉันไม่มั่นใจว่าควรจะทานมันดีหรือไม่ แต่มันกลายเป็นเรื่องที่ดีอย่างน่าประหลาดใจ มันไม่หวานมาก ออกมัน ๆ เหมือนกับเกาลัดนิ่ม ๆ
เวลานั้นเป็นเวลาหลังจากสงคราม ที่อาหารค่อนข้างขาดแคลน แห้วจึงกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ ฉันขอให้ชายหนุ่มคนนั้นหาให้ฉันอีก เขาทำ และแกะเปลือกให้เราด้วย
อย่างพิกล ฉันไม่สามารถจำได้ว่าพี่สาวได้ทานบ้างหรือเปล่า หรือแม้กระทั่งเธอได้พูดอะไรเกี่ยวกับความทรงจำจากเดทแรกของเธอนี้บ้างไหม ฉันไม่สามารถจินตนาการได้ว่า หญิงวัยเยาว์ดั่งพี่สาวฉันนั้นกำลังเคี้ยวแห้วอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนที่เราทำ
ใครคือชายหนุ่มคนนั้น? สำหรับเขา คงทำดีที่สุดแล้วเพื่อทำให้ผู้ติดตามพอใจ ฉันไม่รู้หรอกว่านี่เป็นสาเหตุหรือไม่ แต่ฉันคิดว่านั่นคงเป็นเดทแรกและเดทสุดท้ายของพวกเขาทั้งสอง เพราะฉันนึกไม่ออกเลยว่าเจอเขายืนข้างพี่สาวของฉันอีกทีเมื่อไหร่กัน
ฉันตามหาแห้วทุกครั้งที่ได้กลับไปยังโมสึ-จิ แต่ไม่เคยได้เห็นอีกเลย หลังจากนั้นผู้คนก็ตัดน้ำแข็งบนผิวสระสำหรับถนอมอาหารในฤดูหนาว เลยทำให้แห้วถูกทำลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
ถึงตอนนี้ ฉันก็ยังฝันถึงการเดินจากอิจิโนะเซคิไปยังฮิระอิซุมิตามถนนนั้น แต่ฉันสงสัยว่าจะมีผู้ใหญ่หรือเด็กกี่คนที่เลือกจะเดินด้วยเท้าในปัจจุบัน ทุกคนมีรถและไม่ที่ไม่มีรถก็สามารถที่จะนั่งรถบัสคันใดคันหนึ่งที่วิ่งอยู่
แต่สำหรับฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมความรู้สึกของการเดินไปตามทางหลวงสายฝุ่น นั่นอาจจะเป็นความรู้สึกของการเดินทางสู่ดินแดนบริสุทธิ์ อย่างน้อยนั่นก็เป็นความรู้สึกของฉันตอนนี้
ตัดตอนมาจากหนังสือพิมพ์หอวัฒนธรรมฮิระอิซุมิ โทโฮ นิ อะริ ฉบับที่ 1
หน้าหลัก